Thursday, August 14, 2008

Japan Trip (6th day)

23 July (Wed.)

วันนี้ต้องตื่นเช้ากว่าปกติ เพราะคนอื่น ๆ จะเดินทางกลับก่ิอนเลยไปส่งขึ้นรถไฟฟ้า  ใจหายมาก ๆ เลย อีกหลายวันต่อจากนี้จะเหลือเราแค่ 2 คนเหรอเนี่ย ???  แต่ยังไงเราก็เลือกแล้วนี่ว่าจะอยู่ต่อ ก็จงใช้เวลาให้คุ้มค่า ดูแลตัวเอง และคนข้าง ๆ ให้ดีที่สุดแล้วกัน

อย่าเข้าใจผิดว่าโดนโหวตออกจากบ้าน AF น๊า

ซาโยนาระ !
เนื่องจากอะไรไม่รู้ วันนี้ี้เราจ่ายแพงกว่าที่จองในเว็บ แต่ว่าไม่มีอาหารเช้าให้ วันนี้เราเลยได้เจอกับมาม่าคัพแต่เช้า เป็นมาม่าที่อร่อยมาก ๆ กินจนไม่เหลือน้ำเลยอ่ะ แซ่บอีหลี ! จากที่วางแผนไว้เราคงเดินทางไปหลายที่เลย งั้นซื้อบัตรแบบ one day pass ละกัน จะได้ไม่ต้องคอยซื้อหลาย ๆ เที่ยว บัตรแบบนี้ขึ้นได้ทั้งรถไฟฟ้าแล้วก็รถเมล์ แต่ไม่กล้าขึ้นรถเมล์เพราะไม่รู้ว่าเค้าจะพาเราไปไหนบ้าง อ่านป้ายไม่ออก กะเหรี่ยงทั้ง 2 จึงขอเดินทางด้วยรถไฟฟ้าล้วน ๆ แล้วกัน

ที่แรกที่เราไปวันนี้คือ Osaka Musuem of History เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ดีที่สุดที่เคยไปมาเลย มีทั้งหมด 12 ชั้น ป้าย information ทุกอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย ดูจากตัวเลขแล้วเห็นมี 2 option 600, 600, 1000 ราคาที่เราโน๊ตไว้คือ 600 เยน นึกว่า 1000 เยนคือราคาโปรโมชั่น 2 คน  แต่ที่ไหนได้เค้าแบ่งสิทธิ์การเข้าชมพิพิทธภัณฑ์ คือ
ชั้น 7-10 = 600 เยน

ชั้น 11-12 = 600 เยน

แต่ถ้าเข้าทั้ง 2 อย่าง 1000 เยน

เราจึงตัดสินใจเเลือกที่จะเข้าแค่ชั้น 7-10 เหมือนคนอื่น ๆ ใช้เวลาตั้งแต่ 13.00 ถึง 14.20NHK  (ถ่ายจากชั้น 7 ของพิพิธภัณฑ์)
ปราสาทโอซาก้า (ถ่ายจากชั้น 7 ของพิพิธภัณฑ์)

เราสองคนเดินจากพิพิธภัณฑ์ไปปราสาทโอซาก้าตอนบ่าย 3 แดดช่างร้อนจริง ๆ เลย แต่ยังโชคดีที่มีร่มคู่ใจ ขืนใส่แต่หมวกมีหวังหัวไฟไหม้แน่เลย ระยะทางไกลเหมือนกัน ประมาณ 2 กิโลเมตร ระหว่างทางมีร้านขายไอติมหน้าตาเหมือนไอติม MC อันละ 8 บาท แต่ด้วยตวามร้อน + เหนื่อย เลยตัดสินใจซื้อไอติมที่ว่าผ่านตู้ขายอัตโนมัติราคาอันละ 300 เยน แพงเน๊อะ  แต่อยู่นี่มาหลายวันเริ่มจะชินกับความแพงบ้างแล้วละ

ปุ่มอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมดเลย อ่านก็ไม่ออก รูปก็ไม่มี ต้องเดาแล้วละ

และแล้วก็มาถึงปราสาทโอซาก้าแบบเหงื่อท่วม ๆ  ว้าววววววววววววววววววว !!!  สวยมาก ๆ เลย สวยกว่าที่เคยในหนังสือ, Internet ตั้งหลายเท่า ปราสาทสีขาว หลังคาสีน้ำเงิน และมีสีทองมาตัด อร่ามจริง ๆ เลย 

ข้าคือผู้พิชิตปราสาทโอซาก้า 5555
ช่างเป็นเมืองแห่งตู้อัตโนมัติจริง ๆ เลย ... เราซื้อบัตรเข้าตัวปราสาทจากเครื่องข้างหลังคับ 

ในตัวปราสาทมีทั้งหมด 8 ชั้น ติดแอร์เย็นชื่นใจด้วย เราเลือกที่จะขึ้นลิฟท์ไปชั้น 6 (ลิฟท์สูงสุดที่ชั้นนี้) แล้วก็เดินขึ้นไปชั้นบนสุด สูงเหมือนกันนะ ได้ชมวิวเมืองโอซาก้าด้วย อุดหนุนโปสการ์ดจากที่นี่ 3 ใบ 
แล้วก็เดินลงไปดูในชั้นอื่น ๆ อย่างถี่ถ้วน ทำดีมาก ๆ เลย ขนาดว่าเราอ่าน + ฟัง ภาษาญี่ปุ่นไม่ออกยังพอรู้เรื่องเลย เค้าทำเป็นเหมือนละครเล่าประวัติการสร้างตัวปราสาทอย่างละเอียดด้วย เราดูยังเพลินเลย อยากฟังภาษาญี่ปุ่นออกจัง
จนมาถึงชั้น 1 เจอร้านขายของที่ระลึกก็เข้าไปดู ได้กระเป๋า Osaka ติดมือมา 1 ใบกับขนมญี่ปุ่น 1 กล่อง
เป็นปราสาทที่สวยจริง ๆ เลย

วันนี้เราเดินมากี่กิโลแล้วเนี่ย ทำไมเนื้อเต้นตุบ ๆ ๆ ๆ เลย ไม่อยากก้าวขาแล้วล่ะ แต่ด้วยเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด แล้วก็อยากเที่ยวให้ครบด้วย จึงต้องพยายามเดิน เดิน แล้วก็เดิน 

ขากลับเราอยากลองออกอีกประตูเลยตัดสินใจเดินไปขึ้นรถไฟที่สถานี Temmabashi ด้วยระยะทางมากกว่า 3 กิโลเมตร เพื่อที่จะไปเดินเที่ยวย่าน Tenjimbashi Suji เป็นถนนยาว ๆ สำหรับช๊อปปิ้ง เหมือน Dotonbori แต่ไม่ทันสมัยเท่า ดูแผนที่แล้วก็คิดว่ามาถูก มันอยู่จุดนี้จริง ๆ นะ ไปถามคนญี่ปุ่นก็ไม่มีใครพูด Eng ได้ คราวนี้ก็หันไปเห็นฝรั่งสองคนไกล ๆ เลยวิ่งไปหา แต่พอไปถึงก็เจอเค้ายืนกางแผนที่ และทำเหมือนว่าตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทางไหนดี (เหมือนเราเลย) กว่าจะหาเจอกะเหรี่ยง 2 คนก็เดินอ้อม ๆ ๆ ๆ ขอบ ๆ ของ Tenjimbashi Suji ซะเกือบรอบเลย หมดพลัง หิวข้าวด้วย มือล่าสุดก็มาม่ามะตอนสาย ๆ แวะร้านอาหารหน่อยแล้วกัน

เดินอ้อมซะไกล อยู่หลังรถไฟฟ้าที่เราขึ้นมานี่เอง ฉลาดซะ
มาถึงแล้วค้าบบ เชอรี่เห็นป้ายหน้าร้านเป็นรูปโซบะเลยอยากกิน ผมเลยตามใจ แต่ว่า..ผมจะสั่งยังไงละเนี่ย ????
มีกระทะใหญ่ ตะหลิว แล้วก็เครื่องปรุง ทำไงดี ????
คนรับ order พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ว่าใจดีมากเลย ก็พยายามอธิบายอาหารให้เราฟังเป็นภาษาญี่ปุ่น เราก็ไม่รู้เรื่อง แกเลยสั่งอะไรไม่รู้มาให้กิน อร่อย รสชาติเหมือนทาโกะยากิ แต่เป็นแผ่น ๆ เหมือนมะตะบะ แต่ต้องมาปรุงรสที่กระทะให้อร่อยถึงจะกินได้ เราสองคนก็ไม่รู้ว่าบนโต๊ะมีเครื่องปรุงอะไรบ้าง เลยลองทำไปชิมไปทีละนิด เค้าก็อุตส่าห์เลือกเมนูแบบกินง่ายที่สุดมาให้แล้ว แต่คงต้องยอมแพ้กะเหรี่ยงสองคนนี้จริง ๆ เลยต้องมาลงมือโชว์ฝีมือให้เราทึ่งกัน อย่างนี้ต้องแจกโหวตน้อยให้ซะแล้ว  


สุดยอดจริง ๆ

เห็นเค้าทำง่าย ๆ ขอลองมั่งดีกว่า
ให้ 5 ดาวเลยค๊า ประทับใจที่สุดแล้วร้านนี้

แล้วเราก็ต้องไปต่อเพราะมีอีกที่ ที่เราอยากไปในวันนี้คือ HEP FIVE/HEP NAVIO เป็นห้างใหญ่ ข้างบนสุดของห้าง (ชั้น 7) มีชิงช้าสวรรค์อันใหญ่ที่สามารถพาเราชมวิวเมืองโอซาก้ายามค่ำคืนได้อย่างสวยงาม ด้วยราคาคนละ 500 เยน
ซื้อบัตรแล้วค๊า ตื่นเต้น ๆ ๆ   

ตามป๋มมาเลยค้าบบบ
เดินไม่ไหวแล้ว ขอยืนเล่นเกมตรงนี้ละกัน
อย่าคิดว่าวันนี้เราสองคนจะหยุดเพียงเท่านี้ เพราะยังมีอีกย่านที่เราอยากจะไปเดินกันคือ Kita-Shinchi ซึ่งเป็นย่านเที่ยวกลางคืนของคนรวย มีเหมือนมาเฟีย ยากูซ่าด้วย เราจึงต้องเดินเืที่ยวแบบตัวลีบ ๆ

กระเป๋า Louis Vuitton ที่ซื้อจากปราสาทโอซาก้าค๊า  

แสงสียามค่ำคืนของย่านคนมีก๊ะตังค์

น่ากลัวแต่ยังแอบถ่ายรูปเค้ามาอีกนะ

เป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่จริง ๆ เลย แถมสถานี Namba ที่เราลงมันก็ไม่ได้มีรถไฟแค่สายเดียวด้วยสิ หาทางออกมะเจอ แง๊ 

เราเลยได้มาถ่ายกับป้าย Giligo (อย่างไม่ตั้งใจ) อีก 1 วัน

เหนื่อย ๆ อย่างนี้ขอดื่มกาแฟไฮโซแก้วจิ๋วราคา 430 เยน ให้ชื่นใจก่อนแล้วกันน๊อ

กลับมาถึงห้องตอนเที่ยงคืนครึ่ง แทนที่เราจะได้พักผ่อนกันอย่างสบายใจ กลับต้องมาพะวงกับเรื่องแผ่นดินไหว ที่เปิดไปช่องไหนก็เจอแต่รูปหลังคาบ้านพัง กระจกบ้านแตก ชั้นวางของในซุปเปอร์พัง ฯลฯ

คืนนี้เราจะนอนหลับมั้ยเนี่ย หรือควรจะเปลี่ยนคำถามว่าถ้าพรุ่งนี้เราตื่นมาแล้วเราอยู่ในซากตึกเราจะทำยังไง ขอให้คืนนี้นอนหลับแล้วกัน

Good Night ค่ะ  



Comment

Ads